ความรู้เบื้องต้นเรื่องการนำเข้า-ส่งออก และภาษี

ตู้คอนเทนเนอร์
  • ไม่เต็มตู้ ( LCL ) เราสามารถขอแชร์พื้นที่กับคนอื่นได้
  • 20 Foot ( ตู้สั้น ) ใส่ของได้ประมาณ 30 คิวบิกเมตร
  • 40 Foot ( ตู้ยาว ) ใส่ของได้ประมาณ 60 คิวบิกเมตร
  • 40 Foot High Cub ( ตู้ยาวไฮคิว ) ใส่ของได้เยอะสุด

การนำเข้า-ส่งออก(Import-Export)

จะต้องมีข้อกำหนดในการส่งมอบสินค้า นั่นก็คือ Incoterm ” เพื่อบอกว่าใครรับผิดชอบตรงไหนและอย่างไรบ้าง
เช่น CFR , CIF , EXW , FCA ,CPT ,CIP ฯลฯ โดยแบ่งเป็น 4 term หลักๆคือ CFR , CIF, EXW , FOB

เอกสารนำเข้าส่งออกที่สำคัญและควรรู้จักมีอะไรบ้าง

  1. PO, Purchase Order ใบสั่งซื้อสินค้า ใบที่ผู้นำเข้าต้องส่งให้ผู้ส่งออกเพื่อเปิดออเดอร์ครับ แต่สมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใช้กันแล้ว การสั่งซื้อสมัยนี้ก็ทำเพียงเขียนเมล์เข้าไปคุยแล้วทางผู้ขายก็จะส่ง
  2. PI ให้ได้เลย โดยเฉพาะประเทศจีน
  3. PI, Proforma Invoice ใบเรียกเก็บเงิน ทำหน้าที่บอก ราคา จำนวนสินค้า เงื่อนไขการซื้อขาย และ รายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ เช่น วันส่งมอบสินค้า เป็นต้น โดยผู้ส่งออกจะออกเอกสารตัวนี้ พอผู้นำเข้าได้รับแล้วผู้นำเข้าก็มีหน้าที่จ่ายเงินตามข้อตกลง
  4. CI, Commercial Invoice รายการราคา เป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ส่งออกต้องออกให้ผู้นำเข้า ใช้สำหรับยื่นแนบไปกับเอกสารอื่นเพื่อออกของกับกรมศุลกากร
  5. PL, Packing list รายการบรรจุสินค้า เอกสารสำหรับแจ้งว่าสินค้าใด ถูกบรรจุมาแบบไหน อยู่กล่องไหน ทำโดยผู้ส่งออก
  6. D/O, Delivery order ใบปล่อยสินค้า ผู้นำเข้าจำเป็นจะต้องใช้เอกสารนี้สำหรับนำไปปล่อยตู้สินค้าที่ท่าเรือ/ท่าอากาศยาน โดยผู้ที่จะออกให้คือผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ
  7. B/L, Bill of Lading ใบตราส่งสินค้าทางเรือ ผู้ส่งออกต้องให้ข้อมูลกับทางผู้ให้บริการขนส่งเพื่อออกเอกสารตัวนี้ ส่วนผู้นำเข้าต้องใช้ และผู้นำเข้าควรจะขอตรวจแบบร่างก่อนที่จะออกตัวจริงทุกครั้ง
  8. AWB, Airway bill ใบตราส่งทางอากาศ เหมือนใบตราส่งทางเรือ แต่ข้อมูลก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย
  9. C/O, Certificate of origin หนังสือยืนยันถิ่นกำเนิด ออกโดยรัฐบาล ติดต่อได้ที่ กรมการค้าระหว่างประเทศมีประโยชน์ในการรับสิทธิภาษี
  10. Insurance ประกันภัยขนส่งสินค้า คือยันต์กันความเสียหายที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขนส่ง ซึ่งค่าป้องกันสูงสุดของมันอยู่ที่ 90% ของมูลค่าสินค้าเลยทีเดียว
  11. Import/Export Entry ใบขนสินค้าขาออก/ขาเข้า เป็นเอกสารสำหรับแจ้งข้อมูลสินค้าทั้ง ชนิด จำนวน และราคา ให้กับกรมศุลกากรทราบ เพื่อที่จะได้คิดคำนวนภาษีและเก็บข้อมูลการนำเข้าส่งออกของเรา จัดทำโดยชิปปิ้ง(Shipping)

การวางแผนการขนส่ง

  • Cargo ready
  • Cut off  วันที่สายเรือปิดรับสินค้าเช่น 2 Oct คือเราต้องทำสินค้าให้ผ่านศุลกากรในวันที่2
  • ETD ( Estimate time of Departure) วันที่เรือออก
  • T/T เวลาที่ใข้ในการขนส่ง ex. XX day
  • ETA ( Estimate time of arrival ) ประมาณการเรือถึง ควรจะเผื่อเวลาจากความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ด้วย
  • ภาษี คำนวนจาก
    • C = ราคาสินค้า ดูจาก comercial invoice
    • I = Insurance
    • F = ค่าขนส่ง ค่าระวาง

บางครั้งเราไม่มีค่า ขนส่งระบุมาใน invoice ทางกงศุลจะใช้ราคากลางในการรวมค่าขนส่งให้
หลังจากได้ราคา CIS มาแล้ว ต้องดู พิกัดภาษี( H.s. CODE) เช่น 9403.40.00
คำแปลของพิกัดนี้คือ เฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้ ชนิดที่ใช้ในครัว อัตราภาษี 20%
พอได้ invoice มาค่าต่างๆจะโชว์เป็นอัตราเเลกเปลี่ยนต่างประเทศศุลกากรจึงจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนกรมศุลกากร ซึ่งจะเอามาใช้คิดกับภาษี ซึ่งจะเปลี่ยนทุกวันที่1ของเดือน ตัวอย่างเช่น 1 USD = 40 บาทในวันที่ 15 แต่เดือนนั้นแต่ศุลกากรกำหนดไว้ในวันที่1ว่า 1 USD = 35 บาท เดือนนั้นเราก็จะต้องจ่ายภาษี 1 USD = 35 บาท ภาษีนำเข้าและ VAT ซื้อ คิดสองตัวนี้เอามารวมกันแล้วจ่ายเป็นภาษีศุลกากรไป
C+I+F = ราคา CIF
ราคา CIF x อัตราภาษี = ภาษีนำเข้า
ภาษีนำเข้า + ราคา CIF = ฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม
ฐานภาษีฯ x อ้ตราภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีนำเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = final Tax ที่ต้องจ่ายกรมศุลกากร

สิ่งที่ต้องเตรียมไว้เวลาถามพิกัด และ shipping

-รูปภาพทุกด้านของสินค้า คำอธิบายของสินค้า ทำจากอะไร นำไปใช้งานอย่างไร กับอะไร ที่ไหน ใช้ไฟฟ้าหรือไม่
เพื่อเข้าพิกัดย่อยให้ถูกต้อง ถ้าเข้าพิกัดผิดทำให้ค่าภาษีผิดและมีปัญหาตอนเคลียของ

ปัญหาที่เจอบ่อยๆ

  • การสำแดงพิกัด ถ้าภาษีถูกกว่าพิกัดจริง จะโดนข้อหาสำแดงเท็จ จะต้องจ่ายอากรที่ขาดให้ครบและเสียค่าปรับอีก 2เท่าและ VAT 2 เท่า สมัยนี้ท่าเรือมีเครื่อง X-ray โกงยาก จะรู้เลยว่าของข้างในคืออะไร แถมโดน Blacklist แถมต้องไปเคลียของด้วย ถ้าไม่ไปอาออกจะโดนปรับไปเรื่อยๆ อย่างเช่น ตู้คอนเทอนเนอ เสียค่า วาง 300 ถ้าเกิน 7วันก็โดนชาจไปอีก
  • นายตรวจบอกราคาสินค้าต่ำเกินไป แก้โดย ก็บอกราคาให้สูงเสียภาษีให้ถูกต้อง หรือเจรจาดีดี มิฉะนั้นต้องหาเอกสารมายืน
  • ใบอนุญาตผิด เช่น ออกชื่อบุคคลธรรมดา แต่จะเรานำเข้าในนามบริษัท นิติบุคคล ก็ไม่ได้ มันต้องตรงกัน ไม่งั้นต้องไปตามแก้วุ่นวาย ขอดูดราฟ ตอนเรื่อยังไม่ออก BL invoice มาตรวจให้เรียบร้อยว่าตรงกับใบอนุญาติเราหรือป่าว ก่อนเรือออก
  • ของแถม หาก คนจีนใจดี ซื้อของ 100 แถม20 แต่ศุลกากรไม่มีของแถม ต้องสำแดงให้ศุลกากรใน invoice 120 ชิ้น มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าเราหลบเลี่ยงภาษี โดนค่าปรับเพิ่มเป็นกรณี สำแดงผิด ไม่ว่าจะเป็น แคตตาล้อค แถมมาให้ 2 เล่มยังพอคุยหน้างานได้ แต่ 50 เล่นงี้ต้องสำแดงบน invoice ให้เรียบร้อย และใน ใบขน ต้องใส่ราคาเพื่อเสียภาษีทุกชิ้น แม้ของขวัญ ก้ต้องสำแดง omg

ข้อควรระวัง สำหรับมือใหม่

  • ใบขนสินค้าปลอม คือต้องรู้ว่า ใบขนเนี่ยอ่านยังไง
  • หลอกให้ส่งออก ส่วนใหญ่มักเกิดกับประเทศที่ไม่ค่อยเจริญ พวก ไนจีเรีย บลาๆ เค้าจะบอกว่า มีเงินพร้อมโอนแน่นอน ให้เรา ส่งBL ไปให้เขา ของเราก็จะออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นควรให้เขาโอนเงินมาก่อน ในกรณีเราเป็นผู้ส่งออก
  • ราคาถูกผิดปกติ
  • คิดเผื่อด้วยว่า ถ้าเจ๊งทำไงต่อ ?

มีวิธีดูสินค้ายังไงว่า สินค้าจีน คุณภาพดี

  • ดูcertificate ส่วนใหญ่ในจีน Alibaba จะค่อนข้างน่าเชื่อถือ และจะเป็นคนตรวจสอบให้ แต่อาจมีค่า outsauce ตรวจสอบให้
  • บินไปดูของจริงเอง ไม่อย่างนั้นหากเกิดไรขึ้นมา ต้องไปฟ้องร้องเองที่ประเทศของเขา

ถ้า ทำประกัน CLAUSE A แล้วเรือโดนพายุแล้วตู้ตกเรือ จะได้ค่าประกันไหม

ได้ แต่ B กับ C ไม่ครอบคลุมเพราะฉะนั้นทำประกันไว้คุ้มกว่า

ต้องนำเข้าขนาดไหน ถึงจะ คุ้มค่าส่ง

ค่าขนส่งจากจีน หน้าโรงงานถึงบ้านเรา ประมาน 30,000 รวมภาษีด้วย
ถ้าสั่งประมาณ 5 คิวบิกเมตร คุ้มสุดคือ LCL ถ้าสั่งไม่เกิน 1 คิวบิกเมตรให้ดูทาง air อาจจะราคาใกล้เคียงและเร็วกว่า
ถ้า 20 คิวบิก คือใช้ตู้ 20 foot ดีสุด

เวลาคำนวนประกันภัย

มูลค่าสินค้า 100 บาท ต้องไปคูณ 110 % แล้วค่อยเอาไปคูณกับ rate ที่เค้าให้มา
ส่วนใหญ่ จะ 0.15–0.3 % ให้คิดที่ 0.3% ก่อนจะประมาน 540 บาท
Ps. ถ้าเป็นเงินต่างประเทศ ให้แปลงเป็นเงินไทยก่อนแล้วค่อยเอามาคูณ

ขนาดและน้ำหนักเป็นตัวแปรในการคิดค่าขนส่ง

เขาจะสมมุติให้ 1คิวบิกเมตร เท่ากับ 1 ตัน แต่จีนอาจจะแค่ 500 kg ต้องไปเชค rate เองกับบริษัทขนส่ง

 

ขั้นตอนนำเข้าส่งออกที่ควรรู้

นำเข้า ส่งออก

ขั้นตอนนำเข้าส่งออก เมื่อเริ่มต้นซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศไม่ว่าคุณจะนำเข้าหรือส่งออกอะไรผ่านเส้นทางไหนก็จะต้องผ่านทั้ง 8 ขั้นตอนเหล่านี้มาดูกันว่าละแต่ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มแรกไปจนถึงปลายทางมีอะไรบ้าง

เมื่อตกลงการสั่งซื้อหรือขายสินค้าแล้ว ทางฝ่ายผู้ขายก็จะต้องเริ่มจากผลิตสินค้าให้คุณหรือเตรียมสินค้าในโกดังให้พร้อมจัดส่ง ขั้นตอนการส่งออกสินค้าก็จะมีดังนี้

1. เริ่มนำเข้าส่งออกที่โรงงานผู้ขาย

จุดแรกของการนำเข้าส่งออกการขนส่งย่อมไม่พ้นผู้ขายหรือผู้ผลิตไปได้ ซึ่งในจุดนี้ส่วนใหญ่เรามักจะเรียกมันว่า “หน้าโรงงาน” ในภาษาไทย หรือ “Shipper” ในภาษาอังกฤษครับ ทั้งนี้ที่เรียกว่าโรงงานก็เพื่อความสะดวกในการเรียก ถึงแม้มันจะเป็นร้านเล็ก ๆ หรือโกดังเก็บสินค้าก็ตาม ส่วน Shipper นั้นจะใช้เวลาคุยกับชาวต่างชาติเพราะแปลตรงตัวว่าผู้ส่งออกหรือผู้ขาย ก็อนุมานกันได้เลยว่าที่จะไปรับสินค้านั่นแหละ หรือใครจะใช้คำตรงตัวอย่าง โรงงาน Factory, โกดัง Warehouse หรือ ร้าน Shop ก็ตามสะดวกครับ แต่ขอให้เข้าใจตรงกันว่าสินค้าจะเริ่มต้นออกเดินทางจากที่นี่นั่นแหละครับ

2. การขนส่งในประเทศต้นทาง

เมื่อตกลงซื้อขายกันเสร็จสิ้นแล้วสินค้าจะถูกบรรจุและแพ็คกิ้งขึ้นรถบรรทุกเพื่อขนส่งไปยังท่าเรือ/ท่าอากาศยานต่างๆ แล้วจึงถ่ายโอนสินค้าต่อไปยังทางเรือหรือทางเครื่องบินเพื่อจัดส่งออกไปยังประเทศปลายทาง เรียกว่า Trucking, Pick-up, Inland หรือ Inland freight

3. การทำพิธีการศุลกากรขาออก

ในขั้นตอนนี้ผู้ขาย(Shipper) หรือตัวแทนขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ(Freight Forwarder) ที่ได้จัดซื้อจัดจ้างไว้จะมีหน้าที่ในการสำแดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร(Customs House) ว่าสินค้าอะไรจะออกจากประเทศนั้นนั่นเองครับ จุดนี้ภาษาเฟรทเรียกว่า Outbound Customs Clearance และปกติแล้วขั้นตอนนี้จะกินเวลาไม่นาน หากไม่เจอปัญหาอะไร

4. ท่าเรือ/ท่าอากาศยานต้นทาง

เมื่อศุลกากรได้ตรวจปล่อยสินค้าแล้ว สินค้าก็จะได้รับอนุญาตให้เอาขึ้นเรือหรือเครื่องบินที่จัดเตรียมไว้เพื่อขนส่งออกจากประเทศผู้ขาย ในจุดนี้ภาษาเฟรทเราจะเรียกว่า Port of Loading(POL) แต่ไม่ใช่ว่าทำพิธีการเสร็จแล้วเรือหรือเครื่องบินจะออกทันที ยังต้องมีการผ่านกระบวนการในท่าฯอีกพอสมควร

5. ท่าเรือ/ท่าอากาศยานปลายทาง

ตอนนี้สินค้าก็ได้เดินทางมาถึงยังประเทศของผู้ซื้อแล้วนะครับ จุดนี้เมื่อเรือหรือเครื่องบินจอดเทียบท่าแล้ว สินค้าจะถูกลำเลียงเข้าโกดังไว้ รอให้ผู้ซื้อหรือตัวแทนออกของและศุลกากรมาตรวจปล่อยสินค้าต่อไปครับ ในจุดนี้ภาษาเฟรทเราจะเรียกว่า Port of Discharge(POD) ครับ

6. พิธีการศุลกากรสินค้าขาเข้า

เจ้าพนักงานศุลกากรจะมาตรวจสินค้าที่ผู้ซื้อนำเข้ามาว่าสินค้าที่คุณนำเข้ามาตรงกับที่ได้แจ้งกับกรมศุลกากรไว้หรือไม่ เสียภาษีตรงกับฐานภาษีที่กรมศุลกากรกำหนดหรือไม่ เป็นสินค้าควบคุมหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ขนออกจากท่าเรือ/ท่าอากาศยานได้เลยครับผม จุดนี้คือ Inbound Customs Clearance ครับ

7. ขนส่งจากท่าเรือ

สินค้าที่ตรวจปล่อยแล้วก็ขนไปยังผู้รับครับ การขนส่งทางรถในประเทศไทยนั้นมีข้อกำหนดสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่กว่ากระบะด้วยนะครับ จำง่าย ๆ ว่าในช่วงจราจรคับคั่งตอนพนักงานเข้างานและเลิกงานคือช่วงที่รถใหญ่ห้ามวิ่งในเขตเมืองครับ

8. ผู้ซื้อ

ตอนนี้ขั้นตอนสุดท้ายคือ ผู้ซื้อ(Consignee) ทำการรับสินค้า ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจขนส่งสินค้าครับ ในขั้นตอนนี้ก่อนที่จะรับมอบสินค้า ผู้ซื้อที่ดีควรจะตรวจดูความเรียบร้อยของสินค้าก่อนทำการรับมอบทุกครั้งด้วยนะครับ

ผ่านไปแล้วทั้ง 8 จุดที่คุณควรจะเข้าใจก่อนทำการนำเข้าหรือส่งออกครับ ในการขนส่งแต่ละประเทศก็จะมีเวลาในการขนส่งไม่เท่ากันแต่ขั้นตอนก็จะอยู่ใน 8 ข้อนี้แน่นอนครับ